กฎการเป็นพนักงานเฝ้าอาคารสะสมของเก่าคืนวันศุกร์
หน้าที่หลักของท่านผู้คือดูแลมิให้ผู้ใดเข้ามาในตัวอาคารได้ ท่านไม่ควรเปิดประตูออกจากอาคารนี้จนกว่าจะรุ่งสาง ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
ผู้เข้าชมรวม
117
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
๐๘.๓๒ น.
“เขาว่ามีเทสต์สอบแบบง่ายกับยาก”
“เขาว่าคนที่ผ่านแล้วจะได้เทสต์ง่าย”
“ถ้าอย่างนั้นเทสต์ยากก็เป็นข้ออ้างเลิกจ้างสินะ”
เขาว่า เขาว่า เขาว่า น้ำมนต์ไม่รู้ว่าเขาที่ว่าคือใครใช่ทีมประเมินพนักงานใหม่มั้ย? แล้วเขาที่ว่าพูดความจริงรึเปล่า แต่เพราะข้อมูลนี้มาจาก ‘นิต้า’ พนักงานฝึกหัดรุ่นเดียวกัน เด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูในสายตาพี่พนักงานประจำ นิต้าผู้ที่ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ได้รับความเมตตาอยู่เสมอ จึงเป็นไปได้สูงที่ข้อมูลที่นิต้าได้มาจะเป็นข้อมูลจริงท่ามกลางข่าวลือสารพัดที่กระจายอยู่ในที่นี้
‘เขาว่า’ ของนิต้าไม่มีประโยชน์อื่นใดนอกจากเพิ่มพูนความกังวลใจให้กับน้ำมนต์ จากประสบการณ์โดนเทหลังจากหมดช่วงทดลองงานมาสามครั้งทำให้เธอรอบคอบในการเลือกสมัครงานมากขึ้น น้ำมนต์มั่นใจว่ารีสอร์ตนี้ไม่ใช่ที่ที่จะหลอกให้ทดลองงานเพื่อจ่ายค่าแรงต่ำแล้วค่อยเททีหลัง เพื่อประหยัดทั้งค่าแรงและค่าประกันสังคม เห็นได้ชัดว่ารีสอร์ตที่กำลังขยายกิจการแห่งนี้ต้องการพนักงานประจำเพิ่ม อีกทั้งยังมีการจ้างทีมฝึกพนักงานใหม่มาอบรมอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพียงเท่านี้ก็พอจะยืนยันความจริงใจของทางรีสอร์ตได้แล้ว
หญิงสาวมองใบมอบหมายงานของตัวเองอีกที แต่ไม่ว่าจะกวาดสายตาหรือเพ่งมองซ้ำ ๆ กี่ครั้งก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หนึ่งใน ‘เขาว่า’ ที่น่าเชื่อถือที่สุดคือเทสต์สุดท้ายจะเป็นเทสต์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่จะเข้าทำงาน พนักงานใหม่ปุ้ยผู้สมัครมาในตำแหน่งพนักงานครัวได้รับมอบหมายให้จัดอาหารคอกเทลสำหรับฟรายเดย์ไนท์ ในหมู่พนักงานใหม่มีหลายคนที่เข้ามาทำงานเฉพาะทางอย่างงานครัว หรืองานบัญชี แน่นอนว่าคนเหล่านี้มักจะได้รับเทสต์ที่ไม่เกินสโคปงานของตัวเอง
แม้ว่าน้ำมนต์จะจบการโรงแรมมาโดยตรง แต่เก้าอี้ที่เหมาะกับวุฒิการศึกษาของเธอถูกจับจองโดยคนที่มีทั้งความสามารถและประสบการณ์มากกว่าเธออยู่ก่อนแล้ว เงินในบัญชีไม่อนุญาตให้น้ำมนต์นั่งรอให้เก้าอี้เหล่านั้นว่างลง การเข้าเป็นพนักงานจิปาถะเพื่อสะสมเงินและประสบการณ์ถือเป็นทางเลือกที่ดี แม้หน้าตาจะธรรมดาแต่ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของน้ำมนต์ถือว่าโดดเด่นกว่าคนอื่น ยิ่งเข้าใกล้วันประเมินเท่าไรเธอก็ยิ่งได้รับมอบหมายงานให้คอยต้อนรับลูกค้าหน้าฟรอนท์บ่อยเท่านั้น จนเธอแทบจะมั่นใจว่าเทสต์วันนี้ของเธอไม่น่าจะเป็นงานอื่นนอกจากงานต้อนรับลูกค้าไปได้ แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เธอคิด เธอไม่ใช่คนที่ได้เทสต์ยาก และไม่ใช่คนที่ได้เทสต์งาน
ที่จริงเธอไม่ได้เทสต์อะไรเลยต่างหาก
๑๖.๓๓ น.
บางทีการไม่มีเทสต์อาจหมายถึงเราผ่านโปรแล้วก็ได้
ช่างเป็นการหลอกตัวเองที่คิดเองก็ยังเขินตัวเอง การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแต่การมองโลกตามความเป็นจริงจะช่วยให้มนุษย์เราอยู่รอด เมื่อคิดอย่างมีสติพิจารณาจากความเป็นมืออาชีพระหว่างการฝึกงานที่ผ่านมาข่าวลือที่ว่า ‘คนที่ไม่ผ่านจะได้เทสต์ยากเพื่อเป็นข้ออ้างการเลิกจ้าง’ นั้นฟังดูช่างไร้สาระสิ้นดี การที่เธอไม่ได้เทสต์นั้นน่าจะเป็นเพราะเธอไม่ผ่านการประเมินมากกว่า ถ้าช่วงเลิกงานมีใครสักคนเดินมาแจ้งกับเธอตรง ๆ ว่าเธอไม่ผ่านฝึกงานก็คงไม่แปลกอะไร
อากาศร้อนอบอ้าวก่อนฝนจะตกทำให้งานครัวที่อยู่หน้าเตาไม่น่าอภิรมย์นักแต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของปุ้นที่กำลังทำเทสต์ของตัวเองกลับดูมีความสุขเป็นอย่างมาก ฟรายเดย์ไนท์เป็นหนึ่งในไฮไลต์ของโรงแรมนี้ ในสายตาของพนักงานอย่างเธอมันก็ไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้นก็แค่ยกเอาบุปเฟต์ของห้องอาหารปกติออกมาจัดที่สวนกลางแจ้งบวกกับดนตรีสดก็เท่านั้น
ครืน
เสียงฟ้าร้องครวญเมฆครึ้มเริ่มตั้งเค้า งานสุดท้ายของวันและอาจเป็นงานสุดท้ายของเธอที่นี่คืองานลำเลียงอาหารจากครัวออกไปจัดหน้างาน มันเป็นงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะอะไรนอกจากความไวเท่านั้น หญิงสาวนับเวลาถอยหลังที่เธอจะได้ทำงานที่นี่ เธอเริ่มคิดถึงแผนสำรองให้ชีวิตตัวเอง ภาพประกาศรับสมัครพนักงานที่โรงแรมบูทีคในตัวเมืองกลับเข้ามาในหัวเธอ เธอเริ่มวางแผนขี่มอเตอร์ไซค์ไปร่อนใบสมัครอีกครั้ง
“เมฆตั้งเค้าขนาดนี้ทำไมยังไม่มีใครมาแจ้งเปลี่ยนสถานที่อีก” เสียงบ่นดังขึ้นในหมู่พนักงาน ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับจากพนักงานคนอื่นแทบจะทันที
“มานั่นแล้วไง” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นขณะที่น้ำมนต์รับถาดคอกเทลมาจัดขึ้นรถเข็น
“วันนี้ย้ายที่จัดไปห้องเอสซีนะ” เสียงของบางคนดังขึ้น หญิงสาวไม่ได้หันไปมองว่าใครเป็นคนพูดเพราะการประคองถาดคอกเทลไม่ใช่งานที่จะละสายตาได้
“เรื่องแค่นี้เอง วอมาก็ได้นี่หนูแป้ง” คำพูดของพ่อครัวหลักทำให้น้ำมนต์รู้ว่าใครที่มาแจ้งข่าวนี้
“พอดีมีเรื่องต้องแจ้งน้องฝึกงานน่ะ” ประโยคที่น้ำมนต์ไม่อยากได้ยินดังขึ้น
ดูเหมือนว่าเสียงฝีเท้าที่ก้าวมาหาเธอจะดังกว่าเสียงฟ้าร้องด้านนอก อย่างที่คิด รีสอร์ตมีความเป็นมืออาชีพเกินกว่าจะใช้เทสต์ที่ยากเป็นข้ออ้างในการเลิกจ้างพนักงาน น้ำมนต์พยายามปั้นสีหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ขณะที่วางถาดอาหารให้ลงล็อกของรถเข็น ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าหญิงสาวผู้สิ้นหวัง ในช่วงเวลาแบบนี้การไม่ร้องไห้หรือโวยวายออกมาก็ถือว่าการฝึกที่ผ่านมาไม่สูญเปล่าแล้ว
“น้องนภัรสรใช่มั้ยคะ” พี่แป้งหนึ่งในทีมอบรมพนักงานเรียกเธอเอาไว้
“ค่ะ” น้ำมนต์รับคำสายตาของเธอหลุบมองมือของตัวเองที่ประสานอยู่ด้านหน้า
“คือเมื่อเช้านี้คนจ่ายงานเขาปริ้นท์ใบมอบหมายงานหนูผิดน่ะค่ะ” เสียงของพี่แป้งอ่อนลงคล้ายรู้สึกผิด “ที่จริงวันนี้หนูจะต้องอยู่ฟรอนท์อาคารดีบีตอนเช็คเอาท์ พี่ที่ฟรอนท์เขาก็โทรมาหาพี่ว่าทำไมน้องฝึกงานไม่มาซักที พี่ก็คิดว่าน้องจะยอมแพ้ไปแล้วก็เลย…”
น้ำมนต์หูอื้อไปตั้งแต่กลางประโยค นิ้วที่กอดเกี่ยวกันของเธอบีบแน่นจนขึ้นข้อขาว ริมฝีปากบางเม้มจนเข้าหากันแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง ความรู้สึกที่พวยพุ่งออกมาผสมปนเปกันไปหมดไม่รู้ว่าควรจะโกรธ เสียใจ หรือโล่งใจก่อนกับสิ่งที่เธอได้รับทราบ ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่เธอแบกขึ้นหลังมาทั้งวันเกิดจากความผิดพลาดของใครสักคน ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือคำพูดของพี่แป้งที่กำลังพยายามบอกว่าเธอนั้นโชคดีเหลือเกินที่พี่เขาหาสาเหตุเจอก่อน
“…ดีนะที่พี่เจอสาเหตุก่อน ไม่งั้นถ้าอีกฝ่ายส่งแบบประเมินเข้าระบบว่าไม่ผ่านละก็ยุ่งแน่”
ต้องขอบคุณมั้ย? ต้องกราบเลยรึเปล่า?
“ที่จริงมันก็เป็นความผิดพลาดในส่วนของ HR แหละค่ะ แต่พี่ก็อยากให้หนูเข้าใจ ถ้าจะให้หนูผ่านงานไปเลยก็มันก็ทำไม่ได้ ทุกคนก็ต้องผ่านเทสต์พี่เองก็ต้องส่งคะแนนให้ส่วนกลางเนอะ…” แม้จะพูดว่าตัวเองผิดแต่กลับไม่มีส่วนที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย
“พี่ก็เลยเตรียมเทสต์ใหม่ให้เราไว้แล้ว เป็นเทสต์กะค่ำวันนี้เลยเนอะ” รอยยิ้มของผู้หญิงตรงหน้ายากจะทำให้ยิ้มตาม “ถ้าผ่านก็จะได้เซ็นสัญญาพร้อมเพื่อนที่อบรมรุ่นเดียวกันเลยไง”
น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจราวกับตัวเองเพิ่งจะให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดออกมาทำให้คนฟังรู้สึกราวกับถูกตบหน้า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในวันนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดของใครสักคนที่ทำให้เธอพลาดโอกาสการประเมินงานและต้องแบกความเครียดทำงานทั้งวัน ไม่ใช่การที่คนที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบความผิดพลาดนั้นกำลังพูดจาเอาบุญคุณจากเธอ แต่เป็นการที่เธอที่รู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกเอาเปรียบแต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากแสดงท่าทีราวกับซาบซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่ายนักหนาและโอบรับโอกาสตรงหน้าเอาไว้
“ค่ะ ขอบคุณพี่แป้งมากนะคะที่ให้โอกาสหนู”
๑๘.๕๖ น.
ลมพัดกระชากรุนแรงทำเอามอเตอร์ไซค์คันเก่งหวิดจะล้มอยู่หลายครั้ง ทั้งที่ปกติกรมอุตุฯ ไม่เคยจะพยากรณ์อะไรถูกสักครั้ง แต่วันนี้ดันพยากรณ์ออกมาอย่างแม่นยำจนน่าหงุดหงิด ‘พายุฤดูร้อน’ โชคยังดีที่น้ำมนต์ไม่ประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปกลับ ทันทีที่ตอบรับการทดสอบประเมินงาน น้ำมนต์ก็รีบบึ่งกลับหอพักมาอาบน้ำล้างตัวชาร์จแบตโทรศัพท์ เธอแวะซื้อนมและเครื่องดื่มชูกำลังที่ร้านค้าใต้หอพัก ก่อนจะบิดมอเตอร์ไซค์คันเก่าสุดกำลังไม่สนใบสั่งมายังรีสอร์ตเพื่อเข้ารับการประเมินครั้งสุดท้าย
ลานจอดรถที่สามด้านตะวันตกติดกับโซนกิจกรรมแอดเวนเจอร์และสนามกอล์ฟของรีสอร์ตยามกลางวันจะเป็นที่จอดรถของนักท่องเที่ยวขาจร แต่ตอนกลางคืนถือเป็นที่จอดรถของพนักงานรีสอร์ตกะกลางคืน ภายในลานมีรถหรูสองสามคันจอดอยู่ ไฟอาคารสโมสรกอล์ฟที่ยังเปิดอยู่ทำให้รู้ได้ว่าใครคือเจ้าของรถเหล่านี้ น้ำมนต์เดินกอดกระเป๋าฝ่าลมแรงเละอาคารสโมสรมุ่งตัดผ่านเส้นทางเลียบสวนดอกไม้ไปยังอาคารสโมรสรพัฒน์รำลึกอันเป็นที่หมาย ความกังวลใจที่อยู่เป็นเพื่อนเธอมาทั้งวันถูกความเร่งร้อนกัดกร่อนจนเหลือเพียงความอ่อนล้าเท่านั้น
ลมแรงหอบเอาฝุ่นและเศษดินพัดเข้าใบหน้าทำให้หญิงสาวต้องหรี่ตาลงขณะเดินไปยังจุดหมาย โชคดีเท่าไรแล้วที่ฝนไม่ตกลงมาก่อนที่เธอจะเข้างาน ระยะทางจากสโมสรผ่านสวนหย่อมดูจะไกลขึ้นเมื่อทัศนวิสัยไม่สู้ดีนัก ความรู้สึกของน้ำมนต์ที่ต้องเดินฝ่าลมด้วยความอ่อนล้าทำให้ภาพอาคารที่ทอดสู่สายตากลายเป็นภาพน่ายินดีไม่น้อย
อาคารปูนขนาดใหญ่สองชั้นสร้างเลียนแบบอาคารสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลางทาสีครีมอ่อนขลิบขาว ด้านหน้าเป็นโถงทรงกลมดูโอ่อ่า ไฟจากโคมระย้าส่องสว่างมาจนถึงบันไดด้านนอก สวนหย่อมด้านหน้ามีทั้งไม้มงคลและสระน้ำที่บัดนี้กำลังสะบัดกิ่งก้านไหวไปตามแรงลม เสียงตึงตังของบานหน้าต่างชั้นบนที่โดนลมกระแทกดังสนั่น น้ำมนต์รีบจ้ำเข้าไปยังตัวอาคารให้ไวที่สุดก่อนที่ฝนจะย้อยเม็ดลงมา
มือบางผลักบานประตูไม้หนาเข้าไปด้านใน แรงลมที่พัดสวนบวกกับความหนักของประตูทำให้การดันเข้าไปยาก หญิงสาวเบี่ยงตัวเข้าไปด้านในลมพัดกระแทกประตูปิดดังปัง เสียงดังเสียจนคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าหันมามองเธอ น้ำมนต์หน้าเสียรีบเดินไปหาพนักงานคนนั้นทันที คงไม่ดีเท่าไรที่ความประทับใจแรกของเธอคือการปิดประตูเสียงดัง
“สวัสดีค่ะ มาเข้ากะดึกค่ะ” น้ำมนต์ยกมือไหว้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวนั้น
สายตาของหญิงวัยกลางคนในชุดไทยร่วมสมัยที่ทอดมาทางเธอนั้นไร้แววเป็นมิตร ใบหน้าของเธอนิ่งสนิทราวกับคนไม่รู้จักรอยยิ้มซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนที่ทำงานบริการในรีสอร์ตแห่งนี้ น้ำมนต์วางกระดานมอบหมายงานของเธอให้กับพนักงานหญิงตรงหน้า พนักงานคนนั้นวางโทรศัพท์ของตัวเองลงก่อนจะหยิบกระดานมอบหมายงานของน้ำมนต์ขึ้นมาดู น้ำมนต์กลืนน้ำลายลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตอนนี้ทั้งอาคารจะมีเพียงคนตรงหน้าอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนของคาเฟ่ปิดไปแล้วเห็นได้จากผ้าที่คลุมเคาน์เตอร์เอาไว้ ส่วนชั้นบนที่ไม่ได้เปิดไฟก็ไม่น่าจะมีใครอยู่แล้ว
“เกิดวันอะไร?” คำพูดแรกจากคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกเป็นคำที่น้ำมนต์คาดไม่ถึง
“คะ?” น้ำมนต์รู้ว่าการทวนคำถามด้วยเสียงสูงนั้นไม่สุภาพแต่เธอประหลาดใจเกินกว่าจะเรียบเรียงประโยคทัน
“เกิดวันอะไร” พนักงานคนนั้นถามซ้ำด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดหรือรำคาญออกมา
“วันที่ยี่สิบห้ามิถุนา…”
“วันอะไร ไม่ใช่วันที่เท่าไหร่ วันจันทร์ อังคาร พุทธอะไรแบบนี้” อีกฝ่ายพูดแทรกทันที
“พุทธกลางคืนค่ะ” แม้จะยังมึนงงกับคำถามแต่น้ำมนต์ก็ตอบไปตามตรง
คำตอบของเธอเปลี่ยนสีหน้านิ่งสนิทให้กลายเป็นสีหน้าไม่สู้ดีได้ คิ้วของพนักงานคนนั้นขมวดเข้าหากัน เธอหลุบตาลงอ่านใบมอบหมายงานอีกครั้งราวกับต้องการตรวจสอบอะไรบางอย่าง จากความผิดพลาดของ HR เมื่อเช้าเป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายอาจยังไม่รู้ว่าเธอเข้ากะนี้เพื่อรับการประเมินเข้าทำงานประจำ น้ำมนต์ไม่ใช่คนอึดอัดกับความเงียบนัก แต่ความเงียบในตอนนี้กลับทำให้เธออึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากจะอธิบายเรื่องเทสต์ของเธอแต่ท่าทางของคนตรงหน้าทำให้รู้สึกว่าเธอไม่ควรพูดอะไรออกไปถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ถาม
“ปกติอาคารนี้ไม่มีงานกะกลางคืน…” คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาน้ำมนต์ยืนนิ่งเหมือนถูกสาป “ยกเว้นศุกร์ เสาร์น่ะ”
สาบานได้ถ้าปลายประโยคมาช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียวเธอคงหัวใจวายตายไปเสียก่อน น้ำมนต์พยายามยกยิ้มแต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้ดีที่สุดแค่ยกมุมปากให้ไม่ดูแย่เกินไปเท่านั้น พนักงานหญิงตรงหน้าหยิบปากกาออกมาจากลิ้นชักก่อนจะเซ็นชื่อตัวเองลงตรงช่องรับงานและเอาใบมอบหมายของเธอเสียบเอาไว้ก่อนจะหยิบเอาสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก
“งานไม่มีอะไรมาก แค่ทำความสะอาดห้องที่เขียนไว้ว่าต้องทำ ที่เหลือก็ให้แม่บ้านมาเก็บงานเอาตอนเช้า ที่สำคัญคืออย่าให้ใครเข้ามาในอาคารนี้” พนักงานคนนั้นอธิบายงานขณะที่มือพลิกหน้ากระดาษสมุดตรงหน้า
“ลงชื่อตรงนี้”
ปลายนิ้วของพนักงานหญิงชี้ไปที่บรรทัดสุดท้ายของสมุดตรงหน้า มันเป็นสมุดบัญชีปกแข็งเย็บริมผ้าแบบโบราณความกว้างประมาณฝ่ามือแบบโบราณปกสีน้ำเงินพอจะดูออกว่าเคยเป็นสีสดมาก่อน หน้าบันทึกเวลาถูกเปิดเกินกว่าครึ่งเล่มแล้ว ที่หัวกระดาษมีรอยปั๊มหมึกน้ำเงินว่า ‘บันทึกเวลาเข้าออก’ หน้ากระดาษเป็นเส้นบรรทัดตีเส้นสีแดงเอาไว้แบบสมุดบัญชี ด้านหน้าเขียนวันที่เอาไว้ ช่องกลางเป็นชื่อของพนักงาน ช่องถัดไปเป็นเวลาเข้างานและเวลาออกงานที่ดูไปแล้วก็ไม่ใช่เวลาตามเวรปกติ แต่เป็นเวลาเข้าและออกอาคารตามจริงมากกว่า น้ำมนต์หยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อพลิกดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองก่อนจะเขียนชื่อและลงเวลาตามจริง
ระหว่างที่น้ำมนต์ลงชื่อพนักงานคนนั้นก็เก็บของลงกระเป๋าราวกับว่าหมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว น้ำมนต์งุนงงกับพฤติกรรมของพนักงานตรงหน้า จริงอยู่ที่มันเป็นเทสต์ผ่านโปรแต่เธอไม่เคยเรียนงานส่วนนี้มาก่อนในใบมอบหมายงานก็ไม่ได้อธิบายอะไรเอาไว้ ให้ทำความสะอาดห้องที่ต้องทำอย่างนั้นหรอ? แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าห้องไหนต้องทำอย่างไร น้ำมนต์เก็บปากกาลงเตรียมถามงานจากอีกฝ่ายแต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรอีกฝ่ายก็เอ่ยสวนกลับมาก่อน
“เช็คลิสต์กับข้อแนะนำอยู่ในลิ้นชัก ทำตามนั้นทุกข้อก็พอ” พนักงานคนนั้นบอกก่อนจะหยิบกุญแจลูกนึงออกมา “อันนี้กุญแจประตูหน้าล็อกได้ตอนสองทุ่มเท่านั้น”
“ค่ะ” น้ำมนต์ตอบรับทั้งที่ยังไม่ได้เรียบเรียงความคิดตัวเองให้ดีขณะที่รับกุญแจนั้นมา
น้ำมนต์มองลูกกุญแจในมือมันเป็นลูกกุญแจทองเหลืองอย่างดีขนาดยาวเกือบครึ่งฝ่ามือได้ ก้านของลูกกุญแจเป็นทรงกระบอกแปลกตารอยบิ่นก็เป็นรอยวงกลมที่เธอไม่เคยเห็น ดูจากความเก่าแก่ของมันแล้วบางทีนี่อาจเป็นกุญแจโบราณก็ได้ ที่หัวกุญแจสลักตัวเลขสี่หลักเอาไว้เข้าคู่กับแม่กุญแจ พวงกุญแจเป็นเพียงห่วงลวดธรรมดาดูไปแล้วก็ชวนให้ทำหายไม่น้อย จากรูปทรงกุญแจที่ประหลาดแล้วถ้าต้องหาช่างทำกุญแจสำรองก็คงหาไม่ได้ง่ายเสียด้วย
“กลอนมันฝืดล็อกก่อนเวลาได้ก็ดี” คำแนะนำเรียบ ๆ ของพนักงานประจำคนนั้นดังขึ้น
เธอดึงสมุดลงเวลาที่น้ำมนต์เพิ่งลงไปก่อนจะลงเวลาออกของตัวเองทั้งที่ดูก็รู้ว่าน่าจะยังไม่ถึงเวลาส่งกะ แต่เธอก็ไม่ได้ลงเวลาโกงแต่อย่างใดเลข 19:11 น. ถูกเขียนลงในช่องเวลาออกยิ่งทำให้น้ำมนต์มั่นใจว่าสมุดเล่มนี้ไม่ใช่เล่มที่รายงานทางรีสอร์ตแน่ เสียงฟ้าร้องด้านนอกกับใบหน้ากังวลของหญิงสาวตรงหน้าก็พอเข้าใจได้ ทั้งคู่บอกลากันสองสามคำน้ำมนต์ไม่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ให้ต้องติดฝน อย่างไรก็มีเซ็คลิสต์กับข้อแนะนำอยู่แล้ว
ปึง!
เสียงประตูหน้าปิดลง น้ำมนต์วางกระเป๋าของตัวเองลงข้างโต๊ะก่อนจะเริ่มหยิบเอาของออกมา ดูเหมือนเธอจะรีบเสียจนลืมเอาสายชาร์จโทรศัพท์และแบตสำรองออกมาด้วย น้ำมนต์กดโทรศัพท์ตัวเองเพื่อตรวจสอบแบตเตอร์รีที่เหลืออยู่ เธอไม่มีเวลามากนักตอนที่กลับไปอาบน้ำเธอมั่นใจว่าแบตของเธอไม่เต็มแน่ ตัวเลขเปอร์เซ็นต์แบตเตอร์รีที่เหลือไม่น่าสนใจเท่ากับแจ้งเตือนที่หน้าจอ เมื่อเห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาเธอเลือกกดอ่านจากหน้าจอแจ้งเตือนแทนที่จะเข้าไปอ่านในแชทให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธออ่านแล้ว
นิต้า : เราผ่านโปรแล้วน้าาา
นิต้า : น้ำมนต์รีบไปไหนหรอ เราเรียกเธอที่หน้าโรงแรมแล้วแต่เห็นเธอรีบวิ่งออกไปเลย
นิต้า : น้ำมนต์เองก็ผ่านโปรชั่ยม้ายยย วั้ยปัยกินหนมฉลองกันดีมั้ย >w<)
เป็นนิต้านั่นเองที่เรียกเธอตอนที่เธอกำลังรีบกลับมาเปลี่ยนชุด น้ำมนต์รู้สึกโล่งใจที่ได้รู้ว่าคนที่เรียกเธอเอาไว้ไม่ใช่พี่ HR มากกว่ารู้สึกผิดต่อนิต้า ถ้าเธอผ่านเทสต์นี้เธอกับนิต้าก็คงได้เป็นเพื่อนร่วมงานกัน สำหรับน้ำมนต์คำว่าเพื่อนร่วมงานมันผิวเผินเกินกว่าจะไปฉลองกินขนมด้วยกัน นิ้วเรียวปัดแจ้งเตือนนั้นผ่านไปสายตาของเธอย้ายไปยังมุมบนขวามือ แบตโทรศัพท์ของเธอเหลืออยู่เพียง 37% เท่านั้น สำหรับน้ำมนต์ที่ไม่มีความจำเป็นต้องติดต่อใครแล้ว 37% ถือว่าเพียงพอ
หญิงสาวกวาดสายตาดูรายชื่อที่อยู่ในสมุดลงเวลาก่อนจะพบว่านอกจากพนักงานประจำแล้วยังมีการลงชื่อเข้าออกของพนักงานคาเฟ่ที่เป็นเอาท์ซอสด้วย ตัวเลขบอกเวลาเข้าออกส่วนใหญ่ไม่ใช่เวลาเข้าออกกะแต่เป็นเวลาจริง ลายมือที่ต่างกันออกไปทำให้มั่นใจว่าคนที่ลงเวลาจะต้องเป็นคนที่เขียนเองเท่านั้น การลงเวลาแบบนี้น่าจะเคยมีกรณีของหายหรือขโมยมาก่อนล่ะมั้ง ก็เป็นไปได้ น้ำมนต์กวาดตาไปรอบอาคาร เฉพาะชั้นหนึ่งที่มีเพียงคาเฟ่กับห้องเช่าชุดก็ยังพอเห็นของเก่าที่มีค่ามากมายวางอยู่หลายชิ้นแล้ว คงไม่ต้องนับชั้นสองที่เต็มไปด้วยของสะสมยุคเก่า นาฬิกาที่โทรศัพท์บอกว่ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง หญิงสาววางโทรศัพท์ลงก่อนจะเปิดลิ้นชักออกเพื่อดูลิสต์งานที่พนักงานคนก่อนบอกเอาไว้ ลิ้นชักโต๊ะไม้ฝืดกว่าที่เธอคิดเอาไว้น้ำมนต์จำต้องออกแรงเพิ่มเพื่อดึงลิ้นชักออกมา
ฟื้ด!!!
เสียงไม้หนักสีกันดังลั่น ภายในลิ้นชักมีกุญแจพวงใหญ่อีกหนึ่งพวงกับแม่กุญแจสีแดงสองอัน ของทั้งสามชิ้นวางทับกระดาษอยู่ น้ำมนต์หยิบของทั้งหมดออกมาจากลิ้นชัก ไม่รู้ว่าพนักงานส่วนนี้ขี้เกียจหรือถูกบังคับให้อนุรักษ์ความเป็นโบราณก็ไม่อาจทราบได้ เพราะพวงกุญแจอันนี้ก็ยังคงเป็นเพียงห่วงเหล็กธรรมดาขนาดประมาณขวดเครื่องดื่ม ลูกกุญแจที่คล้องเอาไว้คราวนี้ดูเป็นลูกกุญแจธรรมดาที่พอจะเห็นยี่ห้ออยู่ กระดาษกาวหนังไก่แปะอยู่ที่หัวกุญแจพร้อมกับเลขสี่หลักหน้าตาเหมือนลูกกุญแจลูกอื่นในโรงแรมแห่งนี้ ที่จะน่าสยองหน่อยก็คงจะเป็นแม่กุญแจสีแดงสองอันต่างหาก
มันเป็นแม่กุญแจที่ดูเก่าและไม่แข็งแรงเสียเท่าไรเหมือนกุญแจที่หาได้ตามร้านยี่สิบบาท สิ่งที่ทำให้น่าสยองก็คือสีแดงที่พ่นทับตัวแม่กุญแจกับรอยอักขระบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นยันต์ต่างหาก น้ำมนต์หยิบเฉพาะพวงกุญแจกับกระดานข้างใต้ออกมาเท่านั้น ตัวหนีบสีดำหนีบกระดาษสองแผ่นเอาไว้กับแผ่นกระดานไม้ธรรมดาอันหนึ่ง กระดาษแผ่นบนเป็นกระดาษเอสี่สีขาวคุ้นตา หัวกระดาษเป็นตราโรงแรม ถัดลงมาเป็นชื่อสถานที่ ตำแหน่งงานที่รับผิดชอบ เวลาเข้าออกงานแล้วจึงตามด้วยตารางมอบหมายงาน
อย่างที่พนักงานคนนั้นบอกเอาไว้ ‘งานไม่มีอะไรมาก’ เริ่มจากการลงกลอนประตูหน้าตอนสองทุ่ม ปิดหน้าต่างประตู ตรวจสอบรอบตัวอาคาร ทำความสะอาดพื้น กดชักโครกในห้องน้ำ เก็บขยะไปทิ้ง คอยเฝ้ายามไม่ให้มีคนนอกเข้ามาวุ่นวายภายในเท่านั้น เหมือนเป็นงาน รปภ. ผสมตำแหน่งแม่บ้าน แม้จะไม่ใช่งานหนักอะไรแต่เพราะหน้าที่รับผิดชอบมีถึงสองตำแหน่งจึงทำให้สามารถเป็นงานประเมินผ่านโปรได้อย่างไม่น่าเกลียด
ถ้าเทียบกับงานที่คนอื่นได้รับการทดสอบแล้ว งานนี้ก็จัดว่าง่ายกว่ามาก เห็นได้ชัดว่าเป็นงานที่ฝ่ายบุคคลหามาแก้ขัดให้เธอจริง ๆ การดูแลอาคารสองชั้นด้วยตัวคนเดียวเขียนในรายงานการทดสอบก็ดูดี และงานจริงก็ไม่ได้หนักอย่างที่คิดด้วย อาคารสองชั้นแห่งนี้ชั้นหนึ่งถูกแบ่งพื้นที่เกือบครึ่งเป็นคาเฟ่จากภายนอกที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนปิดร้าน โซนเช่าชุดเองก็ไม่ต่างกันเพราะมันถูกล็อกเรียบร้อยตั้งแต่เธอเข้ามาแล้ว ส่วนที่ต้องทำความสะอาดจริง ๆ มีเพียงชั้นสองเท่านั้น ซึ่งก็เป็นแค่งานกวาดถูเล็กน้อยพอให้ไม่ว่างเกินไป เพราะในตอนเช้าก็จะมีแม่บ้านของทางโรงแรมมาทำความสะอาดใหญ่อีกครั้งอยู่ดี หน้าที่ที่แท้จริงของพนักงานกะกลางคืนน่าจะเป็นการรับมือกับคนที่พยายามจะเข้าอาคารนี้มากกว่า จากที่มีกะกลางคืนแค่เสาร์-อาทิตย์ที่ทางโรงแรมมีการจัดปาร์ตี้กลางแจ้งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีแขกที่กรึ่มมากพอจะอยากมานัวเนียกันท่ามกลางบรรยากาศวินเทจอยู่บ้าง โชคดีเป็นของเธอเพราะคืนนี้ปาร์ตี้จัดที่อาคารเอสซีที่อยู่ไกลจากที่นี่เกินกว่าจะเดินมาได้
ความสบายใจอยู่ได้ไม่นานเมื่อมือบางพลิกหน้ากระดาษไปยังหน้าถัดไป ‘กฎการดูแลสโมสรพัฒน์รำลึกช่วงค่ำ’ น้ำมนต์ขมวดคิ้วทันทีที่ได้เห็นหน้ากระดาษนั้น แม้จะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้เรื่องสยองแต่ถ้าเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ก็น่าจะเคยเห็นเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ความรู้สึกบางอย่างพุ่งขึ้นมาจุกอก เธอทุ่มเทเต็มที่เพื่อให้ได้ทำงานที่นี่ ถึงขนาดที่ต่อให้ต้องฝ่ากฎจราจรกี่สิบข้อเพื่อมาเข้ารับการประเมินนอกเวลาที่เกิดจากความผิดพลาดของคนอื่นเธอก็ยอม แต่สิ่งที่เธอได้รับคือการล้อเล่นอย่างนั้นหรอ? น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาความกดดันที่แบกมาทั้งวันถูกกลบทับเอาไว้ด้วยความหวัง หากแต่ตอนนี้ความหวังนั้นถูกความเสียใจพัดพาเอาไปจนหมดความกดดันแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าและความน้อยใจ หยาดน้ำตาไหลผ่านแก้มหยดลงบนกระดาษ น้ำมนต์รีบปัดน้ำตาที่หยดลงกระดาษออกด้วยความเคยชิน ก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
หมึกไม่กระจาย?
น้ำมนต์มองกระดาษในมือจุดที่หยดน้ำตาของเธอหยดลงไปตัวหมึกไม่ได้ละลายอย่างที่เธอกังวล มือของหญิงสาวลูบไปยังด้านหลังกระดาษเมื่อเห็นรอยนูนของตัวอักษร นอกจากกฎที่ถูกพิมพ์เอาไว้แล้วในกระดาษใบนี้ยังมีรอยขีดเขียนทับอยู่พอสมควร ทั้งรอยปากกาและรอยดินสอที่จางจนมองไม่ออกเป็นคำ นิ้วทั้งสองถูไปมากับตัวกระดาษมันเป็นกระดาษรีไซเคิลเนื้อหยาบ เธอเคยเห็นครั้งล่าสุดก็ตอนเรียนประถมในโรงเรียนที่ใช้เครื่องโรเนียว ความเก่าของกระดาษใบนี้ไม่ใช่ความเก่าที่สร้างขึ้น ตัวอักษรของกฎก็ชัดบ้างจางบ้างแต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะหัวปรินท์เตอร์ มันดูไม่เหมือนกับของที่จะทำออกมาเพื่อแกล้งกัน
ความเย็นวูบผ่านแผ่นหลังทำให้ขนทั้งกายลุก น้ำมนต์ยันตัวนั่งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว เสียงลมด้านนอกหวีดหวิวฟังดูคล้ายคนกำลังโหยหวน มือของหญิงสาวคลำไปที่คอที่ปกติจะสวมสร้อยพระเอาไว้แต่กลับเจอเพียงความว่างเปล่า ตาของหญิงสาวเบิกกว้างขึ้นเมื่อนึกได้ว่าเธอถอดสร้อยเอาไว้ที่หอพักเพราะกลัวว่าสร้อยทองเส้นเล็กจะล่อสายตาคนขณะที่ขี่มอเตอร์ไซค์ยามค่ำได้ เกินครึ่งในใจน้ำมนต์คิดว่ากระดาษแผ่นนี้เป็นเพียงเรื่องหยอกกันเล่น แต่ถึงอย่างนั้นก็อดหวั่นใจไม่ได้เมื่อไม่ได้สวมสร้อยพระ สายตาของหญิงสาวหลุบลงมองสิ่งที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้น
กฎการดูแลสโมสรพัฒน์รำลึกช่วงค่ำ
๑. เวลาลงกลอนประตูหน้าคือ ๒๐.๐๐ น. ตรง ก่อนถึงเวลาลงกลอนผู้ดูแลควรสำรวจให้รอบคอบก่อนว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในอาคารสโมสรแห่งนี้แล้วนอกจากท่าน ท่านต้องมั่นใจแล้วเท่านั้นจึงจะลงกลอนได้ ท่านสามารถเริ่มปิดหน้าต่างในอาคารในได้ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. ขอแนะนำให้ท่านปิดหน้าต่างทุกบานให้ครบก่อนถึงเวลาลงกลอนเพื่อความสะดวกในการทำงาน (กลอนลงยาก พยายามลงก่อนเวลาถ้าไม่ชิน)
๒. เมื่อท่านผู้ดูแลลงกลอนประตูหน้าแล้วหลังจากนี้ขอให้ท่านยึดนาฬิกาตรงโถงกลางเป็นเครื่องชี้เวลาหลัก นาฬิกาเรือนนี้จะตีบอกเวลาทุกชั่วโมง ขอให้ท่านสังเกตลิ้นที่ยื่นออกมาจากบานหน้าต่างนาฬิกาให้ดี หากสิ่งที่ออกมาจากบานหน้าต่างเป็นนกไม้ตามปกติในชั่วโมงนั้นท่านสามารถทำหน้าที่ของท่านได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร
ชั่วโมงที่ท่านต้องระวังมีดังนี้
เวลา ๒๒.๐๐ หากสิ่งที่ออกมาจากหน้าต่างนาฬิกาเป็นลิ้นเปล่า ไม่ว่าท่านกำลังทำกิจใดอยู่ขอจงวางกิจของท่านเอาไว้เสียก่อน ท่านผู้ดูและจะต้องขึ้นไปสำรวจหน้าต่างบริเวณชั้นสองทุกห้องอีกครั้ง หากพบหน้าต่างเปิดอยู่ขอให้ท่านดึงปิดให้เรียบร้อย หากท่านสามารถตรวจกลอนของหน้าต่างทุกบานด้วยก็จะเป็นการดียิ่ง ท่านผู้ดูแลสามารถปิดหน้าต่างทุกบานที่ระเบียงทางเดินได้ทันที ในยามนี้ทุกห้องอาจมีผู้ใช้งานอยู่ท่านมิควรเข้าไปในห้องใดโดยพละกาล หากห้องใดปิดประตูเอาไว้ขอให้ท่านจงเดินผ่านไปเสีย ยกเว้นห้องหนังสือทางด้านตะวันตกของอาคารที่จำเป็นจะต้องปิดหน้าต่างมิให้ความชื้นยามค่ำทำลายหนังสือที่อยู่ภายใน ขอให้ท่านสอดสายตาจากหน้าประตูห้องหนังสือ หากพบหน้าต่างที่เปิดอยู่ด้านในขอให้ท่านสังเกตและปฏิบัติดังนี้
หากท่านได้ยินแผ่นเสียงเพลงสากลเปิดอยู่ขอให้ท่านเคาะประตูสองครั้ง รอจนกระทั่งเสียงเพลงเบาลงท่านจึงจะสามารถเข้าไปปิดหน้าต่างภายในห้องได้ หลังจากปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้วจงกล่าวขออนุญาตออกจากห้องอย่างสุภาพ
หากท่านได้ยินเสียงเพลงไทยไม่ว่าจะเป็นเพลงลูกกรุงหรือไทยเดิม ขอให้ท่านจงเดินผ่านห้องนี้ไปเสียก่อน รอจนเวลาล่วงเที่ยงคืนไปแล้วจึงค่อยกลับมาปิดหน้าต่างในห้องนี้
หากเสียงที่ท่านได้ยินเป็นวิทยุข่าว หรือไม่ได้ยินเสียงอะไรแต่มีหน้าต่างเปิดค้างไว้ทั้งที่ประตูปิดขอให้ท่านใช้แม่กุญแจสีแดงคล้องห้องนี้เอาไว้ หากไม่มีความจำเป็นขอท่านอย่าไขกุญแจนี้จนกว่าจะรุ่งสาง
เวลา ๐๐.๐๐ น. เวลานี้ขอให้ท่านฟังเสียงตีบอกเวลาของนาฬิกาให้ดี หากท่านนับเสียงได้สิบสองครั้งไม่ว่าจะมีสิ่งใดออกจากหน้าต่างนาฬิกาก็ขอให้ท่านจงอย่าได้กังวลท่านสามารถทำกิจของท่านได้ตามปกติ
หากเสียงนาฬิกาดังไม่ครบสิบสองครั้ง สิ่งที่ท่านต้องทำคือเดินไปยังแท่นไหว้บรรพบุรุษบริเวณชั้นลอย ขอให้ท่านสำรวจของที่อยู่บนแท่นไหว้
หากน้ำพร่องจงเติมน้ำลงไปให้ปริ่มจนเกือบเต็ม
หากเหล้าแดงพร่องก็จงเติมเหล้าแดงเสีย (น้ำกับเหล้าอยู่ที่ตู้หลังบันได)
หากพวงมาลัยเหี่ยวเฉา ทางทิศตะวันตกของอาคารจะมีต้นดอกราตรีต้นใหญ่ส่งกลิ่นหอมอยู่ (ใช้ประตูทิ้งขยะเท่านั้น) ขอให้ท่านเลือกช่อที่งามที่สุดเพียงหนึ่งช่อ เด็ดต่ำจากขั้วดอกสักหนึ่งข้อนิ้วนำมาวางแทนมาลัยที่เฉาไป (ไม่ว่าถวายอะไรก็จุดธูปบอกด้วย ธูปอยู่ที่เดียวกับน้ำ)
หากได้ยินเสียงนาฬิกาตีใหม่ครบสิบสองครั้งนั่นหมายถึงท่านปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้ว
เวลา ๐๓.๐๐ น. ขอให้ท่านสังเกตให้ดีหากสิ่งที่ออกมาจากหน้าต่างนาฬิกาเป็นนกไม้ ยินดีด้วยความวุ่นวายในคืนนี้ได้จบลงแล้ว หากสิ่งที่ออกมาจากหน้าต่างนาฬิกาไม่ใช่นกไม้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ขอแนะนำให้ท่านนั่งประจำโต๊ะด้านล่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้ท่านนั่งอยู่ตรงนั้นจนกว่านาฬิกาจะตีบอกเวลาอีกครั้ง
๓. หน้าที่หลักของท่านผู้คือดูแลมิให้ผู้ใดเข้ามาในตัวอาคารได้ ท่านไม่ควรเปิดประตูออกจากอาคารนี้จนกว่าจะรุ่งสาง ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เพราะการเปิดประตูอาจทำให้สิ่งที่อยู่ด้านนอกสามารถแทรกตัวเข้ามาภายในได้ หากท่านต้องการนำขยะออกไปทิ้งด้านนอก ขอให้ท่านใช้ประตูด้านทิศตะวันออกเท่านั้น
เวลาที่ท่านจะออกไปได้อย่างปลอดภัยมีเพียงสามเวลาเท่านั้น คือ
๒๑.๔๕ น. ขอให้ท่านสอดส่องดูก่อนว่าฝาถังขยะข้างอาคารนั้นเปิดอยู่หรือไม่ หากฝาถังขยะเปิดอยู่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ท่านควรจะออกไปด้านนอก ขอให้อดทนจนกว่าจะถึงช่วงเวลาถัดไป
๐๒.๐๐ น. ในเวลานี้เป็นเวลาที่ปลอดภัยที่สุดที่จะออกไปด้านนอก ขอเตือนอีกครั้งท่านควรใช้เวลาด้านนอกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเช่นเดิมท่านควรจะตรวจสอบให้มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ด้านนอกแล้วจึงค่อยผลักบานประตูออกไป ระวังให้ดีบางครั้งอาจมีบางอย่างอยู่ด้านหลังประตู
หลังจาก ๐๔.๓๐ น. ให้รอจนกว่าท่านจะเห็นชายผ้าเหลืองเคลื่อนผ่านหน้าอาคารจากตะวันตกไปตะวันออกเท่านั้นท่านจึงจะออกไปทิ้งขยะได้
๔. จงจำไว้เสมอว่าการทำความสะอาดไม่ใช่หน้าที่หลักของท่าน หากมีเหตุการณ์จากกฎข้อก่อนหน้านี้ทำให้ท่านทำความสะอาดไม่ได้ขอให้ท่านจงละทิ้งการทำความสะอาดห้องที่ไม่ได้ระบุอยู่ในกฎข้อนี้ไปเสีย ท่านสามารถหยิบใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดใช้ได้ตามสะดวกแต่ขอแนะนำให้ท่านเลือกหยิบอุปกรณ์จากตู้ของแม่บ้านชั้นหนึ่งจะเป็นการดีที่สุด ระหว่างทำความสะอาด หากสิ่งที่เห็นหรือได้ยินทำให้ท่านไม่สบายใจ ท่านสามารถใช้แม่กุญแจสีแดงลงกลอนห้องเหล่านั้นได้
มีเพียงไม่กี่ที่เท่านั้นที่ท่านผู้ดูแลจำเป็นต้องทำความสะอาดและไม่ต้องทำความสะอาด ดังนี้
๔.๑ บริเวณโถงรับแขกชั้นหนึ่ง ชุดโซฟาเบาะหนังสีเขียวแก่ ให้ท่านใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด พยายามบิดให้หมาดที่สุดก่อนจะเช็ดชุดโซฟาหนังและโต๊ะตรงนั้นให้สะอาด หากเห็นคราบอื่นเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังทำความสะอาด ให้ท่านแสร้งทำเป็นตาบอดมองไม่เห็นไปเสีย
๔.๒ ห้องจัดแสดงพรมชั้นสอง ท่านควรเข้ามาทำความสะอาดก่อนเวลา ๒๑.๓๐ น. ขอให้ท่านสังเกตตะเกียงเจ้าพายุด้านหน้าห้องก่อนที่จะเข้าไปทำความสะอาด หากตะเกียงเจ้าพายุติดเพียงดวงเดียวหลังจากที่ท่านทำความสะอาดเสร็จขอให้ท่านหยิบเอาเชื้อเพลิงตะเกียงออกจากตะเกียงทั้งสองดวงเพื่อป้องกันอัคคีภัย
ขอให้จำไว้ว่าการสอดรู้สิ่งใดในสโมสรแห่งนี้มิใช่เรื่องที่ท่านควรทำ
๔.๓ ห้องโถงสโมสร หากท่านเข้ามาทำความสะอาดห้องนี้ก่อนเวลาเที่ยงคืน ขอให้ท่านทำความสะอาดเครื่องเรือนแต่ละชิ้นไล่ไปตามเข็มนาฬิกา ท่านสามารถแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดได้
หากท่านเข้ามาทำความสะอาดห้องนี้หลังจากเวลาล่วงเที่ยงคืนไปแล้ว ขอให้ท่านทำความสะอาดเครื่องเรือนทวนเข็มนาฬิกา ในยามนี้ท่านไม่สามารถแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดได้ จงใช้ไหวพริบของท่านผ่านสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปให้ได้ มีเพียงคำแนะนำเดียวที่ท่านควรทราบ หากผู้ที่เอ่ยทักท่านคือสตรีสวมสร้อยสามกษัตริย์กลัดรอบทับทิมสีแดงสด ไม่ว่าคำถามของสตรีผู้นั้นจะคืออะไรท่านควรตอบเพียงว่า ‘อีกไม่นานคุณท่านก็จะกลับมา’ เท่านั้น หากท่านตอบหรือทำสิ่งใดให้ ‘พวกเขา’ รับรู้ว่าท่านมิใช่บ่าวในเรือน ‘คุณท่าน’ แล้วท่านจะเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียเอง
๔.๔ ห้องนอน ท่านควรเก็บผ้าปูที่นอนออกเสีย เก็บผ้าห่ม ถอดปลอกหมอนออกให้เรียบร้อย ไม่มีผู้ใดจำเป็นต้องใช้เตียงในคืนนี้ เว้นเสียแต่ที่เตียงนั้นจะมีคราบอย่างอื่นอยู่ก่อนที่ท่านจะเข้าไปจัดการ หากเป็นเช่นนั้นขอให้ท่านปล่อยเตียงเอาไว้เช่นนั้นแล้วหันไปทำความสะอาดโต๊ะเครื่องแป้งทันที
ที่โต๊ะเครื่องแป้งท่านไม่จำเป็นต้องเปิดลิ้นชักหรือจัดข้าวของ เพียงแค่ปัดเศษฝุ่นออกจากโต๊ะเท่านั้น
๔.๕ มีเพียงห้องเดียวที่ท่านไม่ต้องทำความสะอาด นั่นคือห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกติดกับบันได หากท่านได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กขอให้ท่านระวังเสียงฝีเท้าของตัวเองให้ดี จะดีกว่าถ้าไม่มีใครรู้ว่าท่านกำลังเดินผ่าน หากเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงสตรีคร่ำครวญขอให้ท่านหยิบเอาแม่กุญแจสีแดงมาลงกลอนไว้เสีย
ขอให้ท่านตระหนักเสมอว่าไม่มีเรื่องใดในที่นี้เป็นเรื่องของท่าน
เปรี้ยง!!!
เสียงฟ้าผ่าเจ้ากรรมทำเอาคนที่เพิ่งอ่านกฎจบสะดุ้งสุดตัว ใจของน้ำมนต์เหมือนถูกกระชากออกจากอกอย่างแรง แสงวูบวาบของฟ้าแลบสะท้อนผ่านหน้าต่างสาดส่งให้เงาของเธอพาดทับกระดาษกฎตรงหน้า ใจของหญิงสาวเต้นระรัวปลายนิ้วที่จับกระดาษเผลอกำเข้าหากันจนเกิดรอยยับ สายตาของหญิงสาวสั่นไหว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้เมื่อไรที่ลมกรรโชกเปลี่ยนเป็นฝนที่สาดเทลงมา น้ำมนต์เหลือบมองนาฬิกากลางโถง เข็มวินาทีสีทองเคลื่อนที่อย่างแผ่วเบา กระแสเวลาเดินไปข้างหน้าไม่หยุดรอให้ใจของใครสงบลง เข็มยาวที่เคลื่อนไปข้างหน้าย้ำว่าเธอไม่มีเวลาโอ้เอ้อีกต่อไป ในตอนนี้น้ำมนต์ได้แต่ภาวนาให้กฎเหล่านั้นเป็นเพียงการล้อกันเล่นเท่านั้น เพราะมันคงไม่ดีแน่ถ้ากฎพวกนั้นเป็นจริง
๑๙.๔๒ น.
ซ่า ตึง ตึง
เสียงลมกระแทกหน้าต่างผสานกับเสียงสายฝนดังกระหน่ำ ต่อให้ไม่ใช่เพราะกฎพวกนั้นสิ่งแรกที่เธอควรทำก็คือการไปปิดหน้าต่างที่ชั้นสอง พื้นอาคารทำจากไม้ปาร์เกต์แผ่นใหญ่ขัดมันวาวคงไม่ดีแน่ถ้าหากฝนสาดมาโดนเข้า เครื่องแบบพนักงานโรงแรมบังคับให้สวมถุงเท้าสีดำที่ไม่เป็นมิตรกับพื้นไม้ขัดมันอย่างเห็นได้ชัด เพราะเมื่อก้าวขึ้นบันไดไปไม่ทันจะพ้นชั้นพักร่างของหญิงสาวก็ลื่นไถล โชคดีที่เธอยังคว้าราวบันไดไว้ได้ทัน แม้ร่างกายจะไม่ได้ไถลไปไกลแต่ใจของเธอหล่นวูบไปจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย
เข็มยาวที่ก้าวนำไปไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวได้เรียกขวัญตัวเอง น้ำมนต์ตัดสินใจถอดถุงเท้าวางทิ้งเอาไว้ที่บันไดขั้นนั้นก่อนจะก้าวเท้าอย่างไวขึ้นไปยังชั้นสอง
ทันทีที่เท้าเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายความกล้าที่เคยมีเมื่อครึ่งนาทีก่อนก็หายไปอีกครั้ง นอกจากแสงจากโคมระย้าหน้าโถงกลางแล้วทางเดินทั้งสองด้านของชั้นสองนั้นมืดมิดไปเสียหมด หญิงสาวหรี่ตามองหาสวิตช์ไฟในความมืด โดยไล่สายตาไปยังจุดที่ควรจะมีสวิตช์ไฟอย่างข้างฝาแต่กลับหาไม่พบ เวลาจำกัดเกินกว่าที่เธอจะเดินลงไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเปิดแฟลช น้ำมนต์ตัดสินใจเลี้ยวไปทางขวามือเพื่อจัดการปิดหน้าต่างฝั่งตะวันออกก่อน
สายฝนสาดเข้ามาทางหน้าปะทะเก้าอี้บุเบาะผ้า ลมแรงกระแทกทำให้บานหน้าต่างด้านหนึ่งปิดเข้ามาแล้ว มือเล็กเอื้อมออกไปดึงหน้าต่างเข้ามา ก่อนจะพบว่ากรอบหน้าต่างของอาคารนี้เป็นหน้าต่างบานคู่แบบทำสลักประกบ ต้องดึงหน้าต่างปิดตามลำดับซ้ายขวาเท่านั้น หญิงสาวถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะดันหน้าต่างบานที่ลมกระแทกเข้ามากออกไปเพื่อดึงหน้าต่างปิดตามลำดับซ้ายขวาให้ถูกต้อง หญิงสาวเขย่งตัวเพื่อใส่กลอนด้านบนทั้งสองบานก่อนจะใส่กลอนด้านล่าง คิ้วของน้ำมนต์ขมวดเข้าหากัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หญิงสาวรีบวิ่งเข้าห้องหนังสือทันที เธอเริ่มนึกเกลียดการออกแบบอาคารสมัยโบราณขึ้นมาตะหงิด ๆ เมื่อเห็นจำนวนหน้าต่างที่ต้องปิด บานหน้าต่างเรียงตัวติดกันแทบจะเท่ากับความกว้างของฝาผนัง ตอนกลางวันคงทำให้แขกที่มาถ่ายรูปประทับใจกับแสงสวย ๆ ที่ทอดผ่านช่องหน้าต่างแต่ตอนนี้เป็นภาระแม่บ้านอเนกประสงค์อย่างเธอมาก ลมไม่ได้พัดเพียงแต่ฝนเข้ามาเท่านั้นมันยังหอบเอาเศษฝุ่นและเศษใบไม้แห้งเข้ามาสร้างความสกปรกในห้องอีกด้วย เมื่อนึกถึงภาระงานที่ต้องทำความสะอาดหลังจากนี้ก็อยากจะเป็นลมไปเสียตอนนี้เลย
น้ำมนต์แทบจะวิ่งออกจากห้องหนังสือไปยังอีกฝั่งของตัวอาคารเพื่อปิดหน้าต่างในห้องที่เหลือ เสียงฝีเท้าของหญิงสาวที่เหยียบไปบนแผ่นไม้ดังไปทั่วอาคารที่ไร้คนอยู่ โชคดีที่ห้องแสดงพรมเป็นห้องปิดทึบตั้งแต่แรกน้ำมนต์ปิดประตูห้องพรมพุ่งตรงไปยังห้องสโมสรทันที มือบางผลักบานประตูไม้เข้าไป เสียงมูลี่ลูกปัดกระทบกันด้านหลังไม่ดังไปกว่าเสียงสายฝนที่สาดเข้ามา เมื่อสายตาชินกับความมืดเธอก็ไม่เสียเวลามองหาสวิตช์ไฟอีกต่อไป
การประดับตบแต่งที่หรูหราไม่อาจดึงสายตาเธอไปได้ น้ำมนต์พุ่งตรงไปทางหน้าต่างทันที เงาสะท้อนในกระจกหน้าต่างทำเธอสะดุ้งสุดตัว มือของน้ำมนต์ชะงักค้างอยู่ตรงนั้น ชั่วพริบตาที่ความหวาดผวามาพร้อมกับความไม่แน่ใจ แสงไฟนอกตัวอาคารที่สาดสะท้อนเงาในกระจกหน้าต่าง ก็เงาเราเองนี่ น้ำมนต์กะพริบตาพยายามรวบรวมความกล้าเอื้อมมือออกไปดึงบานหน้าต่างห้องสโมสรกลับเข้ามา
เพราะอ่านกฎบ้านั่นเลยทำให้เห็นเงาตัวเองกลายเป็นหน้าคนอื่น
ปัง!!!!
คราวนี้ร่างบางสะดุ้งสุดตัว ตาสองข้างหลับปี๋ด้วยความตกใจ ความรู้สึกเหมือนเลือดทั้งกายเหือดหายไปในอากาศ ใจกระตุกสั่นราวกับมีใครเอามือมากระชากขั้วหัวใจอย่างแรง หญิงสาวยืนตัวแข็งอยู่หลายอึดใจ เสียงกึงกังที่ตามมาทำให้รู้ว่าเสียงก่อนหน้านี้คือเสียงบานหน้าต่างที่โดนลมพัดกระแทกเข้ามา น้ำมนต์พยายามกอรปสติตัวเองกลับมาเพื่อทำงานตรงหน้าให้สำเร็จอีกครั้ง มืออันสั่นเทาดึงหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาลงกลอนทั้งบนและล่างไปทีละบาน พยามปลอบใจตัวเองว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น
เราคิดไปเองทั้งนั้น เงาก็เงาเราเอง ลมแรงหน้าต่างกระแทกแบบนี้แหละ
เปรี้ยง!!!
ปัง
เสียงฟ้าผ่าดังแทบจะพร้อมกับเสียงปิดประตูห้องสโมสรของน้ำมนต์ จากประตูที่เห็นเหลืออีกเพียงสามห้องเท่านั้น หญิงสาวเตรียมเข้าไปจัดการงานตัวเองในห้องถัดไปทันที แต่…
กึก กึก
มือของน้ำมนต์จับลูกบิดของห้องด้านข้างห้องสโมสรบิดไปมาก่อนจะพบว่ามันล๊อกอยู่ เสียงลมหวีดหวิวกับเสียงกระทบกันของบานหน้าต่างทำให้รู้ว่าห้องนี้ยังไม่ได้ปิดหน้าต่าง ภาพของพวงกุญแจในลิ้นชักโต๊ะกลับเข้ามาในความทรงจำ คิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันด้วยความขัดใจ เวลาไม่คอยท่า หญิงสาวผลักประตูเข้าห้องที่อยู่ริมในสุดของอาคารทันที
แสงของฟ้าแลบสาดเข้ามาจังหวะเดียวกับที่น้ำมนต์เปิดประตูเข้าไป ภาพของเตียงสี่เสาที่ตั้งอยู่ในห้องกระจ่างแก่สายตา น้ำมนต์ไม่รอช้ารีบเข้าไปเพื่อดึงบานหน้าต่างปิดทันที
“ว้าย”
เสียงอุทานของหญิงสาวดังขึ้น ร่างของน้ำมนต์ไถลไปด้านหน้าเล็กน้อยมือของเธอคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ไว้เพื่อพยุงตัว เสียงกุกกักดังขึ้นน้ำมนต์รีบหันกลับไป มืออีกข้างของเธอไวพอที่จะจับแจกันที่กำลังจะหล่นจากโต๊ะเครื่องแป้งที่เธอผวาคว้าไว้ทัน ใจของหญิงสาวแทบจะพุ่งกระเด็นออกจากอก หากว่าเธอทำแจกันใบนี้ตกจะต้องเป็นเรื่องแน่ เสียงครืนครางของฟ้าไม่อาจดังไปกว่าใจที่เต้นโครมคราม มืออันสั่นเทาประคองแจกันกลับเข้าที่ แต่สายตาของเธอดันเห็นสิ่งที่ทำให้ใจสั่นยิ่งกว่าเดิม
หน้าปัดของนาฬิกาข้อมือเรืองแสงในความมืด 19:57:13
อีกไม่ถึงสามนาทีเธอจะต้องลงไปปิดประตูด้านล่างตามเวลาที่กำหนด ริมฝีปากของน้ำมนต์เม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ประสบการณ์การทำงานที่รีสอร์ตแห่งนี้สั่งให้เธอวิ่งออกจากห้องทันที ร่างโปร่งของหญิงสาวพุ่งตัวออกจากห้องมุมสุดของอาคารสู่บันไดกลางทันที หากคิดว่าเท้าที่สวมถุงเท้าเป็นศัตรูตัวฉกาจของบันไดไม้ขัดมันแล้วก็ถือว่าประมาทเท้าเปล่าเปียกน้ำกันเกินไป
“กรี๊ด!!!”
เสียงหวีดร้องของน้ำมนต์ดังลั่นขณะที่ร่างของเธอไถลลงจากขั้นบันไดลงมาจนถึงหน้านาฬิกาเรือนเก่า แขนที่พยายามเอื้อมไปคว้าราวบันไดฟาดเข้ากับเหล็กราวบันไดอย่างแรง ร่างของเธอกระแทกลงกับพื้นเสียงดังลั่น ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่าง น้ำมนต์พยายามใช้มือข้างที่ไม่เจ็บยันตัวลุกขึ้น น้ำตาซึมออกจากหางตา แม้จะไม่ได้บาดเจ็บสาหัสแต่อาการขัดของแขนขาก็นับเป็นอุปสรรคไม่น้อย หญิงสาวกัดฟันพาตัวเองเดินไปยังโต๊ะด้านหน้าอาคารที่เธอวางกุญแจทิ้งเอาไว้
19:58:59
หน้าปัดนาฬิกาที่ข้อมือแสดงเวลาที่เฉียดฉิวเต็มที น้ำมนต์ผลักประตูกระจกออกไปด้านนอกเพื่อดึงเอาประตูไม้บานใหญ่เข้ามา เธอย่อตัวลงเพื่อดึงสลักกลอนของประตูไม้ที่ขัดเอาไว้ด้านนอกออกทั้งสองข้าง สายฝนสาดมาจนถึงตัวเธอที่อยู่ใต้ชายคา เมื่อดึงสลักกลอนบานแรกออกน้ำมนต์ก็แทบจะกระโดดทั้งท่านั่ง เพราะลมตีประตูบานนั้นกระแทกเข้าตัวอาคารอย่างแรง น้ำมนต์รีบปลดสลักกลอนประตูอีกบานอย่างรวดเร็ว
ปึ้ง
เสียงประตูกระแทกปิดอย่างแรงด้วยแรงลมมากกว่าแรงคนดึง เสียงสอดและพับกลอนประตูดังตามมา แม่กุญแจขนาดใหญ่คล้องเข้ากับห่วงของกลอนอีกที ลูกกุญแจทรงกระบอกเสียบเข้าออกแม่กุญแจอยู่สองสามครั้งด้วยความไม่คุ้นชิน ‘กลอนลงยาก พยายามลงก่อนเวลาถ้าไม่ชิน’ ประโยคที่ถูกเขียนด้วยดินสอจาง ๆ ในกฎข้อที่ ๑. กลับเข้ามาในหัวของเธอ ความเจ็บทำให้ความลนลานที่มีก่อนหน้านี้ลดลงอย่างน่าทึ่ง
กริ้ก กริ้ก กริ้ก กึก!
เหง่ง~ เหง่ง~ เหง่ง~ เหง่ง~ เหง่ง~ เหง่ง~ เหง่ง~ เหง่ง~
มือบางหมุนลูกกุญแจสามครั้งก่อนจะดึงออกมาในเวลาเดียวกับที่นาฬิกาด้านหลังตีบอกเวลาพอดี หญิงสาวยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มือของเธอยังค้างอยู่ในท่าประคองแม่กุญแจ หูของเธอได้ยินเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาอย่างชัดเจน เสียงเหง่งหง่างของนาฬิกาโบราณผสานกับเสียงฝนส่งให้บรรยากาศภายในอาคารสโมสรน่าขนลุกไม่น้อย แต่สิ่งที่รั้งขาทั้งสองข้างของน้ำมนต์เอาไว้ไม่ใช่บรรยากาศน่าขนลุกข้างในหากแต่เป็น…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะดังจากอีกฝั่งของประตู หญิงสาวยืนนิ่งยิ่งกว่าหุ่นในห้องลองเสื้อ เสียงเคาะประตูดังอีกครั้งราวกับต้องการตอกย้ำว่าเธอไม่ได้หูฝาดไปเอง น้ำมนต์ก้าวเท้าถอยหลังอัตโนมัติเมื่อเสียงเคาะแปรเปลี่ยนเป็นการเขย่าประตู ประตูบานที่เธอลงกลอนด้านล่างไปแล้วกำลังถูกเขย่าราวกับมีคนกำลังพยายามกระชากประตูเปิดจากอีกด้าน
“มีใครอยู่ข้างในมั้ยจ้ะ?” เสียงผู้หญิงดังจากอีกด้านของประตู “เห็นลูกของฉันบ้างมั้ยจ้ะ”
“เหมือนเขาจะเข้าไปหลบฝนในนั้น ขอฉันเข้าไปตามลูกหน่อยได้มั้ย”
เสียงประโยคสุดท้ายเบาหวิวหากแต่ยังดังผ่านสายฝนมาราวกับว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงที่จะถูกเสียงธรรมชาติกลบได้ ขาของน้ำมนต์พาตัวเองถอยหลังออกห่างประตู
…จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนที่เธอออกไปปิดประตูไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นเสียหน่อย…
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ F.S Kairos ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ F.S Kairos
ความคิดเห็น